เสียงกระทบกรวดหินใต้รองเท้าตลอดระยะทางที่พวกเราเดิน อากาศอันสดชื่นและภูเขาสีเขียวขจี วันนี้ท้องฟ้าใส มีเมฆบางๆที่ค่อยๆเคลื่อนตัวมารวมกันในบริเวณม่านฟ้าที่ห่างไกลออกไป ตลอดเส้นทางจะมีใบไม้สีเหลืองอร่ามของต้นแปะก๊วย, เสียงน้ำไหลผ่านลำธารเล็กๆริมถนน และเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วในบริเวณเดียวกัน พวกเราเดินไปตามเส้นทางเพื่อเข้าไปยังป่าไม้โบราณ ที่มีความหนาวเย็น เปียกชื้นจากกองใบไม้ที่กำลังย่อยสลาย ต้นมอสที่กำลังเติบโตระหว่างหินผุกร่อน และทำให้พื้นผิวทางเดินอ่อนนุ่มเฉกเช่นเดียวกัน
นากะเซนโดะ เป็นถนนที่ใช้เดินทางสัญจรในอดีตตั้งแต่ยุคเอโดะ ซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงค.ศ.1600 ถึง 1868 นากะเซนโดะ (中山道) หมายถึง “ถนนกลางภูเขา” หรือ “เส้นทางเดินในภูเขา” แม้ว่าถนนบางเส้นจะถูกสร้างมาก่อนในช่วงตลอดศตวรรษที่ 7 แต่หลังจากนั้นก็มีการก่อสร้างถนนอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีค.ศ.1600 ตลอดช่วงยุครณรัฐ ในเวลานั้นโทกูงาวะ อิเอยาซุ โชกุนผู้ปกครองต้องการพัฒนาระบบถนนไฮเวย์เดิม; โดยเลือกห้าถนนและดำเนินการพัฒนาโดยรัฐบาลกลาง ประกอบด้วยโทไกโดะ (ตามแนวชายฝั่งตะวันออก), โอชุไกโดะและนิกโกะ-ไกโดะ (ลากยาวทางทิศเหนือจากเอโดะ [โตเกียวในปัจจุบัน]) และโคชุ-ไกโดะ (ลากยาวทางทิศตะวันตกจากเอโดะไปยังภูเขา) นากะเซนโดะ เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมระหว่างเอโดะและเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองหลวงจักรวรรดิจนถึงปีค.ศ.1869
Iฉันอยากมาเดินตามรอยถนนสายเก่าหรือเส้นทางระยะไกลอย่างนากะเซนโดะมานานแล้ว โดยตอนแรกฉันก็ลองเดินนับก้าวด้วยตัวเองก่อนแล้วถึงเปลี่ยนมาใช้ iPhone หรือ Fitbit ตัวช่วยนับก้าวดิจิตอลทีหลัง ในยุคที่มีทั้งเครื่องบิน, รถไฟ และรถยนต์ การเดินดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดูน่าแปลกใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ใช่การเดินเร็วๆไปซื้อของในร้านค้า หรือการเดินขึ้นเข้าที่จัดเต็มทั้งรองเท้าบูทและอุปกรณ์เดินป่า คุณอาจจะเกิดคำถามว่า “ทำไมคุณถึงเลือกที่จะเดินแทนที่จะนั่งรถไฟล่ะ?” หนึ่งเหตุผลที่ควรเลือกเดินบนเส้นทางอย่างนากะเซนโดะ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เสมือนย้อนยุคกลับไปในศตวรรษที่ 18 ของประเทศญี่ปุ่น และบางเส้นทางก็ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนหนึ่งพันปีที่แล้ว
ถนนเหล่านี้ได้ถูกใช้สัญจรโดยเหล่าซามูไร, แม่ทัพ, นักบวชแสวงบุญ, พ่อค้าหาบเร่ รวมถึงสมาชิกในเครือราชวงศ์ ถือเป็นเส้นทางหลักเพื่อการค้าและการแลกเปลี่ยน นากะเซนโดะมีระยะทางประมาณ 532 กิโลเมตร (135 ลี้) ใช้เวลาอย่างน้อย 15 วัน ที่กว่าจะเดินทางจากจุดตั้งต้นไปยังจุดสุดท้าย ระหว่างทางมีเมืองเก่า 69 เมือง โดยมีชื่อลงท้ายว่า -ชุกุ หรือ -จุกุ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตลอดเส้นทางนากะเซนโดะ เริ่มตั้งแต่นิฮงบาชิ ในเอโดะ และซันโจะ-โอฮาชิ ในเกียวโต ในเมืองเหล่านี้ก็จะมีสถานที่พักแรม, บ่อน้ำสำหรับม้า, ร้านค้า, โรงน้ำชา และสถานที่สำหรับทำพิธีทางศาสนา
นากะเซนโดะ มีอีกชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า ฮิเมะไคโดะ หรือ “ทางไฮเวย์เจ้าหญิง” เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากนางข้าหลวงและบรรดาลูกสาวของครอบครัวชั้นสูง โทไกโดะมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ แต่มีแม่น้ำจำนวนมาก โดยไม่มีสะพานข้ามระหว่างกัน โยชิยูกิ อันโดะ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์นากะเซนโดะแห่งเมืองนากัตสึงาวะ ได้อธิบายว่า “แต่เดิมประชาชนต้องรอเรือเฟอร์รี่เพื่อข้ามฟาก ซึ่งทั้งเสียเวลาและเสียเงิน” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “นากะเซนโดะ ค่อนข้างไกลและอ้อม มีลักษณะเป็นเนิน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีสะพานให้ข้ามแม่น้ำ แต่การจัดตารางเดินเรือก็มีความปลอดภัยกว่าและดำเนินการได้ง่ายกว่า”
แม้ว่าถนนจะเชื่อมต่อกับโลกภายนอก แต่เมืองก็ยังมีขนาดเล็กและผู้คนก็ยังดำรงชีวิตแบบพึงพาตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไกด์ท้องถิ่นจากเมืองโอคุเตะ-จุกุได้อธิบายว่า “ในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ ทุกคนยังคงต้องทำงานร่วมกัน, ปลูกข้าว, ปลูกผัก, สร้างความบันเทิงสนุกสนานเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน” และกล่าวเสริมอีกว่า “พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พวกเขาจะร่วมกันช่วยเหลือดูแลเด็กๆ รวมถึงพวกเขายังเลี้ยงหนอนไหม, ทอผ้าไหม, ทอผ้า และตัดเย็บเสื้อผ้า” รอบๆบริเวณนี้ยังมีสินค้าอื่นๆที่หมู่บ้านจะผลิตออกมาเพื่อการค้ามีทั้งข้าว, ซูมิ (ถ่าน) และเครื่องปั้นดินเผา นอกจากนี้ที่ภูมิภาคนี้ยังมีกลุ่มคาบูกิจำนวนมากที่สุด บางกลุ่มก็มีมาตั้งแต่สมัยยุคเอโดะ เมื่อมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาบนถนนเส้นนี้ก็จะแวะชมละครที่พวกเขาแสดง
บางพื้นที่ของนากะเซนโดะยังคงเอกลักษณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงกว่าพันปี บางอาคาร, ทัศนียภาพ และถนนบางเส้นก็ยังคงเป็นแบบเดิมดั่งที่เคยเป็นมาแต่ในอดีต อาทิเช่น นะกะสึงะวะ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องช่างงานฝีมือ ซึ่งที่นี่ไม่เคยถูกภัยพิบัติไฟไหม้ครั้งใหญ่แม้แต่ครั้งเดียว และถึงแม้ว่าจะมีอาคารสถาปัตยกรรมใหม่สร้างขึ้นมา แต่อาคารโบราณก็ยังคงมีอยู่กระจายตัวร่วมกับความทันสมัยเช่นเดียวกัน ทำให้ที่นี่ให้ความรู้สึกลึกซึ้งและคงอยู่เหนือกาลเวลา
ในบริเวณหนึ่งก็มีร้านกาแฟสไตล์ฮิปสเตอร์ที่ทำฟองนมได้สมบูรณ์; ส่วนบริเวณอีกด้านหนึ่งก็มีระหัดวิดน้ำไม้ที่ถูกใช้สำหรับบดบักวีตเพื่อทำแป้งเส้นโซบะ บางพื้นที่ของเมืองก็ถูกพัฒนาและเต็มไปด้วยการค้าเชิงพาณิชย์ เจ้าของร้านที่ดูเหมือนมาจากยุคเอโดะที่กำลังขายของโบราณ: ขวดสาเกท้องถิ่น, งานแกะสลักไม้ที่ทำจากไม้ต้นสนซีดาร์และต้นไซปรัส, ลูกพลับอบแห้ง และผักดอง โดยในระหว่างเมืองบรรยากาศจะเงียบสงบอย่างสิ้นเชิง มีเพียงแค่คุณ, ป่า, ก้อนหิน, ทุ่งหญ้า และสายลมเท่านั้น
วันนี้พวกเรากำลังจะเดินไปในจังหวัดกิฟุ และไกด์ท้องถิ่นของพวกเราได้แบ่งปันความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเมืองเก่าและเส้นทาง มิกิโอะ ทาคายามะ จากเมืองโฮโซกุเตะ-จุกุ ได้อธิบายถึงเนินดินที่ปกคลุมด้วยหญ้าทับถมกันขึ้นมาที่ด้านหนึ่งของเส้นทาง “นั่นคือจุดบอกระยะทาง” เขากล่าวต่อไปว่า “ทุกๆลี้ ที่เนินเหล่านี้ที่ถูกทับถมขึ้นมาจะเป็นตัวบอกให้คุณรู้ว่าคุณเดินมาไกลเท่าไหร่แล้ว” นั้นเรียกว่าอิชิริซุกะ เนินเขาแสดงถึงหนึ่งลี้ ซึ่งระยะทางประมาณ 3.93 กิโลเมตร หรือ 2.44 ไมล์ ความยาวของลี้ถูกคาดการณ์ประมาณระยะทางที่คนหนึ่งคนจะสามารถเดินได้ในหนึ่งชั่วโมง (พึงระลึกว่านักเดินทางส่วนใหญ่ที่ใช้ถนนนี้มักจะมีสัมภาระขนาดใหญ่, อาวุธ, สัตว์ หรือกระเป๋าอื่นๆ) “มันคือ 1.5 ลี้ ระหว่างโฮโซกุเตะ และโอคุเตะ และโออิจุกุ อีก 3.5 ลี้” ทาคายามะชี้แจ้งเสริม
ทุกวันนี้ยังคงมีเมืองหลงเหลืออยู่บ้างและมีจุดบอกระยะทางอยู่ที่มุมต่างๆของถนน และมันก็ง่ายกว่าแต่ก่อนที่คุณสามารถนั่งรถไฟหรือขึ้นรถเพื่อเลือกจุดเริ่มต้นได้ หรือแม้กระทั่งยังมีบริการขนส่งสัมภาระของคุณไปยังที่พักถัดไปอีกด้วย ดังนั้นคุณเพียงแค่สวมกระเป๋าสะพายเบาๆและเดินไปตามทาง แต่อย่างไรก็ตามที่นี่ก็ยังไกล และมีเพียงบางเมืองเท่านั้นที่จะมีผู้คนอยู่อาศัยตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักร้อย พวกเราเลือกพักในภูเขาคิโสะ ที่นี่ให้บริการที่ทันสมัยใหม่และอยู่ค่อนข้างไกลออกไป
ผู้ที่ชื่นชอบการปั่นจักรยานสามารถขี่ผ่านเส้นทางได้ ในกิฟุมีเมืองเก่าทั้งหมด 17 แห่ง ถึงแม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมากมักจะอยู่ในมาโกเมะ แต่การปั่นจักรยานก็จะทำให้คุณได้พบกับสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์และเสน่ห์ของเส้นทางเดินอีกด้วย ในฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ก็จะให้บรรยากาศสวยงามตระการตา ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ดีเหมาะกับการปั่นจักรยานเป็นอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งข้อดีของการเดินเช่นนี้ คือ การได้ใช้ของร่างกายอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าฉันก็เดินรอบเมืองเป็นประจำและออกกำลังกายบ้าง (เป็นครั้งคราว) แต่สารภาพตามตรงว่าฉันใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการนั่งทำงานที่โต๊ะ, จ้องหน้าจอ และนั่งหลังโก่งเป็นเวลานานๆ แต่การเดินบนเส้นทางนี้ทำให้ฉันได้ซาบซึ้งและดื่มด่ำกับความงามที่เรียบง่ายตราบเท่าที่ร่างกายของฉันจะทำได้ พวกเราเริ่มเรียนรู้ที่จะเดินเป็นจังหวะและไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรีบมากนัก ทำให้พวกเรารู้สึกดีที่สามารถกำหนดจังหวะความเร็วได้ตราบที่พวกเราต้องการ และมื้อเที่ยงพักเบรคคือโซบะและเทมปุระ คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้หลังจากที่เดินกันมาหลายชั่วโมง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรมาเดินเส้นทางนี้ คือ เพื่อให้เห็นความแตกต่างอีกมุมหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต่างจากความวุ่นวายและความเร่งรีบอย่างในตัวเมืองอย่างชัดเจน อันโดะได้กล่าวว่า “ยังมีบรรยากาศแบบดั้งเดิมจำนวนมากที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และมีวิวมากมายจากบนที่สูงและหุบเขา” และเขายังเสริมอีกว่า “โทไกโดะยังคงแบบสภาพแบบเดิมอยู่ ดังนั้นทิวทัศน์ก็จะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ที่นากะเซนโดะ ทิวทัศน์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ชนิดนาทีต่อนาที” การเดินบนนถนนนี้คุณจะได้สัมผัสกับภูมิทัศน์ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแวดล้อมไปด้วยภูเขากว่า 70% และความจริงที่ว่ายังคงมีคนจำนวนมากที่ยังอาศัยอยู่ในชนบท
งาวะ ฮิโรชิเงะ มีอยู่ช่วงหนึ่งของเส้นทางเดินที่ทาคายามะชี้ไปที่วิวเพื่อให้ดูงานภาพชิ้นหนึ่งของฮิโรชิเงะ มันช่างดูสวยงามแทบจะเหมือนเดิมทุกประการ แม้จะผ่านกาลเวลามา 200 ปีมาแล้วก็ตาม และถึงแม้ว่าจะปัจจุบันจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่มากขึ้น แต่ก็คงคาดเดาได้ไม่ยากว่าบนภูเขาในฤดูหนาวคงทรมานน่าดู พวกเราหวังว่าจุดแวะพักถัดไปจะมีของอร่อยให้เติมพลังให้กับนักเดินทางต่อไป
เมื่อพวกเราเดินไปตามทาง เมืองก็เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ และในที่สุดทัศนียภาพก็เริ่มเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้นๆ บ้านในเมืองก็เริ่มกลายมาเป็นบ้านฟาร์ม และมีภูมิทัศน์ที่ขยายแผ่ออกไป เริ่มมีฟาร์ม, ลำธาร และพืชไร่นานาชนิด พวกเราเดินผ่านเด็กผู้หญิงที่กำลังช่วยคุณพ่อเปลี่ยนยางรถ ฉันเลยพูดขึ้นมาว่า “คนที่นี่ดูเหมือนจะต้องช่วยตัวเองกับทุกอย่างจริงๆ” ฉันเชื่อว่าขนาดผู้ใหญ่ในโตเกียวก็คงไม่รู้วิธีเปลี่ยนยางล้อรถ มิเอโกะ คัตสึ ไกด์ท้องถิ่นจากนะกะสึงะวะจึงพูดขึ้นว่า“พวกเขาไม่สามารถเรียกคนอื่นมาช่วยถึงที่นี่ได้ ดังนั้นพวกเขาก็ต้องทำด้วยตัวเอง”
ความเหงานั้นเป็นสิ่งที่ฉันเริ่มรับรู้ได้ในตอนนี้ เพราะมีเพียงถนน, เท้าของฉัน และกระเป๋าติดตัวเท่านั้น นี่เป็นเพียงหนึ่งเส้นทางที่ทำให้รู้จักสถานที่แห่งนี้เพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าฉันสามารถหยุดและดมกลิ่นดอกไม้, สำรวจดูแมลง, สัมผัสอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกนาที และเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสภาพอากาศ ในขณะที่ฝนตกเทลงมามักจะไม่เป็นที่ต้องการสักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นชินกับบรรยากาศแวดล้อมและโลกมากยิ่งขึ้น
การเดินเป็นการทำสมาธิรูปแบบหนึ่ง และทุกจังหวะการเดิน สภาพแวดล้อมรอบตัวก็ดูน่าตื่นเต้นน่าค้นหา ในแต่ละช่วงเวลาก็จะมีความพิเศษเกิดขึ้นเสมอ นี่มันคือต้นอะไรกันนะ? ฉันสงสัย กลิ่นมันช่างหอมยิ่งนัก โอ้,แสงสว่างตามทางเริ่มค่อยๆมืดลง ฉะนั้นที่นี่ตอนนี้มันจึงเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษ นั้นใช่สุนัขจิ้งจอกกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในพุ่มไม้หรือเปล่านะ? มันมีหางนุ่มๆโผล่ออกมา คัตสึกล่าวว่าที่นี่มีทั้งหมูป่า, หมี, กวาง และลิงเช่นกัน พวกเราเข้าไปนั่งพักที่รอยแยกระหว่างภูเขา โดยมีน้ำตกและใบไม้พลิ้วไหวพัดโชยเบาๆ
แล้วฉันก็มาถึงมันปุกุอัง วัดสำหรับพักแรมในคืนนี้ที่เอะอิโช-จิ ในมาโกเมะ-จุกุ ที่มาโกเมะเป็นเมืองลาดชันที่มีอาคารสวยงามเชื่อมระหว่างทางเดินทั้งสองด้าน ก่อตั้งมายาวนานกว่า 350 ปี วัดที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของนิกายรินไซ เชน หลักคำสอนที่สำคัญของวัดแห่งนี้จะเน้นไปที่การเคารพความเป็นมนุษย์และให้ความสำคัญกับคุณค่าชีวิตโดยมีพุทธศาสนาเป็นส่วนช่วยสนับสนุน
เจ้าอาวาสซาซากินำพวกเราไปยังห้องเสื่อทาทามิ ท่านเดินเท้าเปล่า, โกนศีรษะ อยู่ในชุดคลุมสีน้ำตาลเข้ม ท่านนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง และให้พวกเราทำตามเช่นเดียวกัน พวกเรากำลังทำซาเซนและนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิตใจให้สงบนิ่ง การนั่งนิ่งๆเป็นอะไรที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ด้วยชีวิตที่เร่งรีบในแต่ละวัน, ต้องเผชิญกับความวุ่นวาย, ต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน และต้องวิ่งไปประชุมอีกงานหนึ่งอยู่เสมอ มันจึงไม่ง่ายนักสำหรับหวกเรา แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปเมื่อพวกเราออกห่างจากชีวิตในเมืองมา หลังจากที่เดินมาทั้งวันการได้อยู่ในที่ที่มีทั้งต้นไม้และแสงแดด, ลมและแมลง มันช่างเป็นความรู้สึกเหมือนได้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง
เจ้าอาวาสซาซากิให้พวกเราพิจารณาปรัชญาโกอาน: เมื่อคุณปรบมือ มือข้างซ้ายหรือมือข้างขวาที่ทำให้เกิดเสียง? ท่านจุดธูปและกลิ่นหอมละมุนก็ลอยคละคลุ้งรอบตัวพวกเราที่กำลังนั่งอยู่ในห้องอันหนาวเย็นท่ามกลางความสงบ แม้ว่ารอบตัวชีวิตในเมืองจะมีเสียงแห่งความวุ่นวายอลหม่านมากมาย แต่ท้ายที่สุดเมื่อมาที่แห่งความสงบแห่งนี้ ทุกอย่างกลับเงียบสนิทจนได้ยินทุกเสียงที่เกิดขึ้น สมองของฉันดูเหมือนจะสั่งการดังขึ้นเรื่อยๆในความเงียบสงบแห่งนี้
ธูปเริ่มมอดดับลง และเจ้าอาวาสซาซากิก็ปลุกพวกเราขึ้นมา ด้านนอกมันช่างเงียบสนิท พวกเรามาผ่อนคลายกันที่ห้องอาหาร ที่วันนี้จะได้ทานมื้อค่ำเป็นโชะจิน เรียวริ: อาหารมังสวิรัตของพระสงฆ์ที่ฉันในวัดเพื่อแสวงบุญ พวกเราทานเต้าหู้งา, หัวไชเท้านึ่ง, ผักดอง และข้าว มันก็ค่อนข้างอิ่มและอยู่ท้อง จากนั้นพวกเราก็ปูฟูกฟูทอนที่จะใช้นอนในคืนนี้ ก่อนที่จะนอนหลับพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเดินในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเราได้เดินหรือปั่นจักรยานก็จะได้พบปะพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในนากะเซนโดะ นี่มันช่างเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่งนัก และขณะเดียวกันเมื่อได้มาลองมาทำความรู้จักกับเมืองเก่ายอดนิยมอย่างมาโกเมะ ก็พบเสน่ห์บางอย่างของที่นี่ ทำให้เราพบว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดเกิดขึ้นได้ในบรรยาศท่ามกลางความสงบ และนั่นคือจิตวิญญาณที่แท้จริงของการเดินป่าที่พวกเรารับรู้ได้